จำนวนการดูหน้าเว็บรวม

วันพุธที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

เทคโนโลยีใหม่ช่วยให้คนตาบอดขับรถได้



แต่ก่อนที่คุณผู้อ่านจะคิดไปไกลกว่านี้ Riccobono ไม่ได้ขับรถแข่งกับใคร แต่นี่เป็นการสาธิตการขับรถยนต์ Ford Escape ที่ได้รับการดัดแปลงด้วยระบบเซ็นเซอร์ที่ช่วยให้ผู้ขับที่พิการทางสายตาสามารถ"มองเห็น"สิ่งต่างๆ บนถนนหนทางได้ด้วยการใช้ระบบกระตุ้นความรู้สึกหลายๆ ส่วน (ผ่านทางถุงมือที่สวมขณะขับ โดยเชื่อมต่อกับระบบคอมพิวเตอร์ที่ช่วยประมวลผลสถานการณ์ และสิ่งกีดขวางรอบๆ รถยนต์ขณะวิ่ง) เพื่อให้ผู้ขับสามารถรับรู้ถึงการควบคุมรถยนต์ได้นั่นเอง นับเป็นความฉลาดในการใช้เทคโนโลยีช่วยเติมเต็มความพิการขาดพล่องให้กับผู้ขับได้อย่างลงตัว
Riccobono เป็นผู้อำนวยการฝ่ายเทคโนโลยี การวิจัย และการศึกษาที่สมาคมคนตาบอดแห่งชาติ (NFB: National Federal of the Blind) ซึ่งคงไม่มีใครเหมาะสมเท่าเขาอีกแล้ว สำหรับการเป็นผู้ทดลอง และสาธิตการใช้เทคโนโลยีใหม่ที่ช่วยให้ผู้พิการทางสายตาสามารถขับรถยนต์ได้อย่างปลอดภัยด้วยตัวเอง แม้จะไม่สามารถขับได้เร็วเท่ากับผู้ที่มีสายตาปกติ แต่เชื่อว่า ด้วยเทคโนโลยีใหม่นี้นอกจากจะทำให้ขับรถยนต์ได้แล้ว ในกรณีที่สภาพภูมิอากาศที่มีหมอกลงจัด หรือฝนตก เทคโนโลยีใหม่ก็ยังช่วยให้พวกเขาขับได้อย่างปลอดภัยอีกด้วย จะว่าไปเห็นแล้วอดนึกถึงโครงการพัฒนารถยนต์ที่ขับเคลื่อนได้เองของ Google ที่ใช้เซ็นเซอร์รอบคัน พร้อมกล้อง 360 องศา อันนั้นเหมือนจะทำไว้ให้คนรวยขับ แต่อันนี้ทำให้ผู้พิการ

ที่มา
http://www.arip.co.th/news.php?id=413106
http://www.nfb.org/nfb/Default.asp
http://www.arip.co.th/news.php?

ใช้ Facebook อย่างปลอดภัย




ข่าวคราวเกี่ยวกับ Facebook ในช่วงที่ผ่านมามีมากมาย และหลายๆ เรื่องก็เกี่ยวกับเรื่องหลุดๆ ลับๆ ที่ไปโผล่อยู่บน Facebook อย่างล่าสุดมีกรณีที่ข้อมูลส่วนตัวของหัวหน้า MI6 (ต้นสังกัดของสายลับอย่างเจมส์ บอนด์) เกิดหลุดออกไปบนอินเทอร์เน็ตผ่าน Facebook อย่างไม่น่าให้อภัย เพราะทางการอังกฤษต้องใช้งบประมาณจำนวนมหาศาลเพื่อปิดบังข้อมูลดังกล่าว แต่ภรรยาของหัวหน้า MI6 ที่ว่ากลับเผยแพร่ทั้งภาพและรายละเอียดส่วนตัวในที่สาธารณะซะงั้น
เสน่ห์ของ Facebook มีหลายอย่าง แน่นอนว่าการเชื่อมต่อกันเป็นเครือข่ายเพื่อนฝูงที่รู้จัก ทำให้ความสัมพันธ์ของผู้คนใกล้ชิดกันยิ่งขึ้น ก่อนหน้านี้แม้แต่บิลล์ เกตส์ แห่งไมโครซอฟท์ก็ยังต้องใช้เวลาอย่างน้อยครึ่งวันบน Facebook แม้ล่าสุดจะมีข่าวว่าเลิกเล่นไปแล้วก็ตาม เพราะโดนขอเป็นเพื่อนเยอะเกินจะรับไหว
ว่าไปแล้วสิ่งที่หลายคนกลัวมากที่สุดก็คือ เรื่องส่วนตัวที่ไม่ควรให้คนอื่นรู้ แต่กลับถูกเปิดเผยไว้บนวอลล์ของ Facebook ที่ทำให้ทุกคนที่คุณรู้จักได้ล่วงรู้ถึงเรื่องราวต่างๆ ที่ไม่เหมาะสมไปด้วย ซึ่งถ้าคนที่คุณเป็นเพื่อนด้วยบน Facebook นั้นมีแต่เพื่อนสนิทจริงๆ นั่นก็คงไม่ค่อยมีปัญหาเท่าไร แต่หลายครั้งเพื่อนเหล่านั้น -- ไม่ใช่แค่เพื่อน แต่เป็นเจ้านายบ้าง คู่ค้าทางธุรกิจบ้าง ลูกน้องบ้าง หรือแฟนเก่าบ้าง
รับรองว่าคุณต้องมีหลายๆ เรื่องที่ไม่อยากให้คนเหล่านี้ได้รับรู้แน่นอน ซึ่งหากไม่เตรียมการให้ดีๆ รับรองว่าการแก้ไขปัญหาทีหลังนั้นแทบจะเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เลย
ฉะนั้นถ้าคุณเป็นคนหนึ่งที่มีชื่อเสียงและภาพลักษณ์หน้าตาให้ต้องปกป้อง การเปิดโล่งบัญชี Facebook ถือเป็นเรื่องที่เสี่ยงอย่างยิ่ง อย่าลืมว่า Facebook ไม่ได้ถูกออกแบบมาเพื่อใช้ในด้านธุรกิจ อย่าลืมพิจารณาถึงสิ่งเหล่านี้ก่อนที่จะกระโจนเข้าใส่ Facebook แบบเต็มตัว:
  • Facebook ถูกสร้างและพัฒนาขึ้นโดยคนหนุ่มสาวเพื่อคนหนุ่มสาว ก่อนหน้านี้อีเมล์ที่จะสมัครเข้าไปเปิดบริการ Facebook ได้ต้องเป็นอีเมล์ที่ลงท้ายด้วย .edu ซึ่งก็คือ คนที่เรียนในโรงเรียนและมหาวิทยาลัยต่างๆ และแม้กฎเกณฑ์ดังกล่าวจะไม่ได้ถูกบังคับใช้แล้วในวันนี้ แต่ดีเอ็นเอของ Facebook ไม่เปลี่ยนแปลง เว็บไซต์ที่ออกแบบมาเพื่อให้หลายคนได้โอ้อวดวีรกรรมสมัยเรียน ไม่น่าจะช่วยให้ภาพพจน์ความเป็นมืออาชีพทางธุรกิจของคุณดูดีขึ้นแม้แต่น้อย
  • อินเทอร์เฟซการใช้งานที่ดูยุ่งยาก เป็นผลมาจากแนวทางการออกแบบเพื่อผู้ใช้ซึ่งอยู่ในรั้วมหาวิทยาลัย มีเซนส์ในการเล่นวิดีโอเกม และก็ไม่ได้สนใจในเรื่องเกี่ยวกับประสิทธิภาพทางธุรกิจเลยแม้แต่น้อย ความผิดพลาดเกิดขึ้นได้ง่ายและแก้ไขได้ยากเมื่ออยู่บน Facebook ซึ่งต่างจากแอพพลิเคชันที่ออกแบบมาเพื่อใช้ในธุรกิจโดยเฉพาะ
  • คุณไม่สามารถคาดเดาหรือควบคุมได้เลยว่า จะมีใครที่ขอเข้ามาเป็นเพื่อนของคุณบ้างบน Facebook จะตอบรับอย่างไรถ้าเจ้านายหรือลูกค้าของคุณขอเป็นเพื่อนบน Facebook ด้วย? จะปล่อยให้คนเหล่านั้นเข้ามาเห็นพฤติกรรมความร่าเริงแบบเกินตัวของคุณสมัยเรียนหรือที่ยังเป็นอยู่แม้แต่ในขณะนี้ หรือว่าจะกล้าปฏิเสธการขอเป็นเพื่อนดังกล่าว? นี่เป็นสถานการณ์ที่ชวนปวดหัวอย่างยิ่งสำหรับผู้ใหญ่ที่ต้องการเล่น Facebook
  • Facebook มักปล่อยคุณสมบัติใหม่ๆ ให้ผู้ใช้ได้สัมผัสกันโดยไม่มีประกาศแจ้งเตือนล่วงหน้า ไม่นานมานี้ก็เพิ่งจะมีคุณสมบัติที่ติดตามการชอปปิงของผู้ใช้แล้วเผยแพร่ให้คนอื่นๆ ได้รู้กันทั่ว ซึ่งน่นอนว่าโดนประท้วงโดยผู้ใช้อย่างแรง และตามมาด้วยคดีความละเมิดสิทธิส่วนบุคคลต่างๆ มากมาย แต่รับรองว่านี่จะไม่ใช่ครั้งสุดท้ายที่เราได้เห็นอะไรแบบนี้บน Facebook แน่นอน ความจริงต้องตั้งคำถามตั้งแต่แรกแล้วว่า Facebook เก็บบันทึกข้อมูลกิจกรรมต่างๆ ของผู้ใช้ไปตั้งแต่แรกเพื่อจุดมุ่งหมายอะไร?
  • การหลอกลวงทาง Facebook กำลังเริ่มระบาด มีกรณีที่ Facebook ของคนรู้จักโดนแฮก และมีการส่งข้อความหาเพื่อนหลายๆ คนทำนองว่าต้องการความช่วยเหลือด้านการเงิน และเริ่มมีการแช็ตกันจริงจังเพื่อเริ่มกระบวนการหลอกลวง ซึ่งสำหรับคนที่ไม่ได้ระแวงอะไร มันก็เป็นเพียงแค่คำร้องขอจากเพื่อนคนหนึ่งที่คุณรู้จักและเต็มใจจะช่วยเหลือ แต่บางครั้งอาจเป็นเพียงแค่การอาศัยประโยชน์จาก Facebook โดยที่เจ้าตัวไม่ได้รู้เรื่องอะไรด้วย หากเจอกับสถานการณ์แบบนี้จริง ติดต่อกันโดยตรงดีที่สุด จะทางโทรศัพท์หรือจะนัดเจอกันก็ได้ หากใครพอจะได้เค้าลางว่ากำลังโดนหลอก แจ้งตำรวจเอาไว้ก่อนน่าจะดีที่สุด
หรือบางครั้งคุณอาจได้รับคำร้องขอเป็นเพื่อนผ่าน Facebook ที่ชักชวนให้ดาวน์โหลดโปรแกรมสำหรับเล่นไฟล์วิดีโอ ซึ่งโปรแกรมที่ว่านั้นแท้จริงก็คือ โปรแกรมอันตรายที่กำลังจะแอบแฝงตัวเข้ามาในคอมพิวเตอร์ของเรา ซึ่งอาจจะมีการชักชวนทั้งผ่านทางอีเมล์หรือหน้าเว็บ และด้วยความสัมพันธ์อันใกล้ชิดระหว่างกันบน Facebook ก็ทำให้หลายคนเผอเรอไม่ระมัดระวังในเรื่องนี้จนเกิดปัญหาขึ้นตามมาภายหลัง
แต่อย่าเพิ่งหมดหวัง คุณสามารถใช้ Facebook อย่างปลอดภัยได้ในระดับหนึ่ง วิจารณญาณที่เหมาะสมช่วยลดความเสี่ยงต่างๆ ได้พอสมควร สำหรับมือใหม่เพิ่งหัดใช้ ลองเข้าไปตั้งค่าความเป็นส่วนตัวได้ที่ Privacy Settings จากเมนู Settings ซึ่งเราสามารถเปลี่ยนรายละเอียดในการเผยแพร่ภาพถ่าย ข้อความ ข้อมูลส่วนตัว และข้อมูลการทำงานได้ ซึ่งรวมไปถึงสิ่งที่สมาชิกคนอื่นๆ จะมองเห็นด้วย ฉะนั้นเจ้านายหรือแฟนเก่าของคุณถูกกำหนดให้เห็นข้อมูลที่แตกต่างออกไปบน Facebook ของคุณ อย่าลืมว่าการปล่อยให้คนทั่วไปที่ไม่รู้จักเห็นข้อมูลทุกสิ่งทุกอย่างที่เกี่ยวกับคุณนั้น ไม่ใช่คำตอบที่ฉลาดซักเท่าไรนัก
อีกหนึ่งคุณสมบัติที่ต้องระวังก็คือ "Find Friends" ซึ่งยอมให้คุณกรอกชื่อผู้ใช้และรหัสผ่านของเว็บเมล์อย่าง Gmail หรือ Yahoo! Mail เพื่อดึงเอาข้อมูลรายชื่อคนที่คุณรู้จักมาใส่ไว้บน Facebook -- อย่าลืมดูให้แน่ใจว่า รายชื่อเหล่านั้นไม่มีคนที่คุณติดต่อทางธุรกิจอยู่ด้วย เพราะนั่นอาจจะเสี่ยงต่อการเปิดเผยเรื่องส่วนตัวที่ไม่เหมาะไม่ควรให้แก่คนเหล่านั้นได้ทราบ
ส่วนการตั้งค่าความเป็นส่วนตัวด้วยการจำกัดการใส่แท็กชื่อของคุณเข้ากับรูปภาพต่างๆ ก็เป็นอีกหนึ่งอย่างที่ควรทำ เพราะบางครั้งคุณก็ไม่อยากให้คนอื่นๆ ได้เห็นภาพส่วนตัวบางอย่าง ที่โดนแท็กจากคนอื่นแต่ใส่เป็นชื่อของคุณเพื่ออ้างอิงมาที่ตัวคุณอย่างตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตาม
ฉะนั้นก่อนจะเริ่มใช้ Facebook อย่าลืมสละเวลาซักหนึ่งชั่วโมงเพื่อรีวิวการตั้งค่าต่างๆ เหล่านี้ตั้งแต่แรกเริ่ม การเปิดใช้บัญชี Facebook ไม่ใช่เรื่องยาก แต่การตั้งค่าให้เหมาะสมกับการใช้งานเพื่อไม่ให้เรื่องลับๆ ของคุณถูกเผยแพร่ออกไปในวงกว้าง อาจต้องใช้เวลาบ้างพอสมควร
ทางออกอีกทางหนึ่งที่น่าสนใจก็คือ การจัดแบ่งกลุ่มความสัมพันธ์ให้ชัดเจน เช่น หากมีเพื่อนนักธุรกิจหรือลูกค้าที่ต้องการติดต่อกับคุณผ่านเว็บไซต์เครือข่ายสังคมออนไลน์ การหันไปใช้ LinkedIn หรือเว็บอื่นๆ ก็น่าจะดีกว่าการที่รวมเอาผู้คนจากทั่วทุกสารทิศมาไว้ภายใต้ Facebook แถมคุณยังมีข้ออ้างดีๆ ในการปฏิเสธการขอเป็นเพื่อนบน Facebook และชักชวนให้คนรู้จักทางธุรกิจหันไปคบค้าสมาคมกันบนเว็บอื่นที่เฉพาะทางมากขึ้นด้วย

ที่มา

วันอังคารที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

15 วิธีประหยัดแบตฯ มือถือ และแท็บเล็ต Android ตอนที่ 1

                [เอ.อาร์.ไอ.พี, www.arip.co.th] เชื่อว่า ตอนนี้คุณผู้อ่านเว็บไซต์เอ.อาร์.ไอ.พี (arip) ตลอดจนผู้ใช้สมาร์ทโฟน และผู้ใช้แท็บเล็ตไม่มีใครไม่รู้จัก Android ระบบปฏิบัติการบนอุปกรณ์โมบายจาก Google ที่ยังคงแรงยังต่อเนื่องทั้งในสมรภูมิสมาร์ทโฟน และแท็บเล็ต แม้จะเป็นที่ยอมรับมากมายไม่แพ้ผู้นำตลาดอย่าง iPhone แต่ผู้ใช้ Android ต่างก็มีเสียงบ่นออกมาให้ได้ยินอยู่ไม่น้อยเหมือนกัน โดยเฉพาะปัญหา"แบตเตอรี่"หมดไวไปหน่อย


              ประเด็นก็คือ ส่วนใหญ่แล้วการที่แบตฯหมดไวไม่ได้มีสาเหตุมาจากปัญหาการทำงานของโอเอส หรือตัวอุปกรณ์ Android แต่มักเกิดจากการเปิดคุณสมบัติการใช้งานต่างๆ ที่บางทีก็ไม่จำเป็นต้องใช้งานในเวลานั้น แต่มันก็ถูกเปิดให้ทำงานตลอดเวลา แล้วอย่างนี้แบตเตอรี่จะไม่หมดได้อย่างไร? แถมบางคุณสมบัติยังสวาปามพลังงานแบบเต็มเหนี่ยวอีกด้วย พูดอย่างนี้ก็ไม่ได้หมายความว่า คุณจะต้องปิดคุณสมบัติการทำงานเจ๋งๆ มากมายของ Android อย่างเช่น การสตรีมเพลงเพราะๆ จากทั่วโลก หรือการเชื่อมต่อไร้สาย คุณผู้อ่านบางท่านอาจจะบอกว่า ไม่ค่อยเป็นปัญหา เพราะมีแบตฯสำรองติดตัวตลอดเวลา แต่อย่างน้อย Tip นี้จะทำให้คุณทราบว่า แอพฯ หรือคุณสมบัติการทำงานใดบ้างที่กินไฟจากแบตฯมากมาย ว่าแล้วเราไปดูกันเลยดีกว่าครับ
Bluetooth ไม่ใช้ปิดซะ บ่อยครั้งที่ผมสังเกตเห็นผู้ใช้สมาร์ทโฟนหลายรายที่เปิดคุณสมบัติการเชื่อมต่อไร้สาย Bluetooth ไว้ ทั้งๆ ที่ไม่ได้ใช้หูฟังไร้สาย หรือโอนไฟล์แบบไร้สายกับชาวบ้าน เพราะฉะนั้นการเปิดคุณสมบัตินี้ไว้ตลอดเวลาจึงไม่ใช่เรื่องจำเป้น ดังนั้นหากคุณไม่ได้ใช้หูฟังไร้สาย หรือใช้มือถือในการสื่อสารกับอุปกรณ์ไร้สายอื่นๆ ตลอดจนคอมพิวเตอร์ เพิ่นโอนไฟล์ หรือเล่นแอพฯใดๆ ทางที่ดีปิด Bluetooth (off) โดยแตะที่ widget บนหน้าโฮมซะเดี๋ยวนี้ จะช่วยประหยัดแบตฯ ได้นานขึ้นอีกนิด

เลิกใช้ Wireless Network ระบุตำแหน่ง แม้การระบุตำแหน่ง (My Location) ด้วยเครือข่ายไร้สายจะใช้แบตเตอรี่น้อยกว่า GPS (Global Positioning System) แต่ถ้าเปิดทั้งคู่ รับรองได้เลยว่า แบตเตอรี่คุณจะหมดเร็วอย่างที่คุณคาดไม่ถึงเลยทีเดียว หากไม่ต้องการเปิดเผยตัวตนให้คนได้เห็นกันว่าอยู่ที่ไหนบนโลกนี้ แนะนำให้ปิดคุณสมบัตินี้จะดีกว่าครับ โดยเลือกเมนู Settings/Location/Use wireless networks
GPS จอมเขมือบแบตเตอรี่ แม้จะเป็นคุณสมบัติการทำงานที่พูดถึงเป็นอันดับที่ 3 แต่ความจริงแล้ว มันเป็นฟังก์ชันที่กินไฟจากแบตเตอรี่แบบไม่บันยะบันยังเลยทีเดียว โดยเฉพาะเวลาที่ตัวเครื่องสื่อสารสัญญาณกับดาวเทียม ดังนั้นคุณควรจะเลือกเปิดใช้งานเฉพาะในยามจำเป็นเท่านั้น ถ้าให้ดีควรสังเกตบริเวณ notification bar ว่ามีไอคอน GPS โผล่ขึ้นมา หรือไม่?

เปิด Wi-Fi ไว้ตลอด หรือปิดดีล่ะ? หลังจากผ่านมา 4 ข้อ คุณผู้อ่านบางท่านอาจจะคิดว่า ปิดมันซะทุกอย่างอย่างนี้ ปิดเครื่องเลยดีกว่าไหม? :D ความจริงไม่ถึงขั้นนั้นหรอกครับ สำหรับกรณีที่คุณทำงานอยู่ใกล้บริเวณที่มีสัญญาณ WLAN ตลอดเวลา เช่นในบ้าน หรือสำนักงาน การเปิด Wi-Fi ให้ทำงานตลอดเวลาน่าจะเหมาะกว่าการเชื่อมต่อผ่าน 3G เนื่องจากการใช้คลื่นวิทยุ Wi-Fi จะกินไฟจากแบตเตอรี่น้อยกว่าการติดต่อเครือข่าย 3G มาก และเมื่อเปิด Wi-Fi ก็ควรจะปิด 3G ซะ สำหรับการตั้งค่าให้ Wi-Fi เปิดทำงานตลอดเวลา (always) แตะที่ Settings/Wireless networks/Wi-Fi Settings จากนั้นแตะที่ปุ่ม Menu ตามด้วย Advanced แตะที่ Wi-Fi Sleep policy แล้วเลือกออปชั่น Never และในกรณีที่คุณไม่ได้อยู่ใกล้บริเวณที่มีสัญญาณ Wi-Fi ก็ปิดมันซะ (widget ที่ homescreen) จะได้เหลือแบตฯไว้ใช้นานๆ


ยกเลิก Always-On Mobile Data ปกติที่ดีฟอลท์ตัวเลือก Always-On Mobile Data ของ Android Phone จะถูกตั้งให้เปิด (On) การทำงานไว้ ซึ่งตัวเลือกนี้จะเปิดโอกาสให้มือถือของคุณเชื่อมต่อข้อมูลได้ตลอดเวลา แต่มันจำเป็นขนาดนั้นเลยหรือ? เพราะความจริงแม้ผู้ใช้จะยกเลิกการทำงานนี้ไปแล้ว คุณก็ยังสามารถพุช Gmail ได้ตลอดจน app หลายๆ ตัวก็ยังคงสามารถอัพเดตได้โดยอัตโนมัติ (ยกเว้น app บางตัวที่ต้องเชื่อมต่อเน็ตตลอดเวลา) การยกเลิกการทำงานของตัวเลือกนี้จึงเป็นไอเดียประหยัดแบตฯที่ไม่เลย แต่อย่างไรก็ตาม หากคุณมีแอพฯหลายตัวที่ต้องเชื่อมต่อเน็ตตามปกติ การยกเลิกตัวเลือก Always-On Mobile Data ก็อาจจะไม่ใช่ไอเดียที่ดีนัก เนื่องจากการเปิด/ปิดการเชื่อมต่อข้อมูลบ่อยๆ จะใช้ไฟจากแบตฯมากกว่าการเปิดตลอดเสียอีก สำหรับการยกเลิกตัวเลือก Always-On Mobile Data สามารถทำได้โดยแตะที่ Settings/Wireless & Networks/Mobile networks/Enable always-on mobile data

ขอขัดใจนิดหนึ่ง สำหรับ "15 วิธีประหยัดแบตฯ มือถือ และแท็บเล็ต Android" ตอนที่ 1 พอแค่นี้ก่อนนะครับ แล้วคอยติดตามตอนที่ 2 สำหรับเทคนิคฯ ที่เหลือ รับรองว่า ถูกใจคุณผู้อ่านแน่นอน



ที่มา



วันศุกร์ที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2553

วิธีการส้รางBlogger

Blog เป็นเครื่องมือสำหรับเขียนบันทึกเหตุการณ์ส่วนตัว ชื่อเต็มๆ มาจาก Weblog โดยคนที่เขียน blog เขาจะเรียกว่า blogger หรือ Weblogger ที่จริงแล้วจะเรียกชื่ออะไรคงไม่ได้เกี่ยวข้องกับตัวเรามากนักเอาเป็นว่าให้พอรู้จักชื่อละกัน หากท้าวความย้อนกลับไปในอดีต คนที่จะทำเว็บไซต์ส่วนตัวจะต้องศึกษาเครื่องมือเขียนเว็บอย่าง HTML หรือหากจะให้ง่ายหน่อยก็ใช้ทูลสำเร็จรูปอย่าง Dreamweaver, Frontpage ในการสร้างเว็บขึ้นมา หลังจากสร้างเสร็จจะต้องไปขอพื้นที่เว็บฟรีเพื่ออัปโหลดข้อมูลในเครื่องเราขึ้นไปเก็บอีกทีหนึ่ง จึงจะมีเว็บของตัวเองได้
สำหรับ blog ไม่เป็นเช่นนั้นผู้ใช้ไม่จำเป็นต้องนั่งเขียนโค้ด หรือนั่งสร้างเว็บเอง อีกทั้งไม่จำเป็นต้องไปขอพื้นที่เว็บฟรี ก็สามารถมีเว็บไว้บันทึกเหตุการณ์ส่วนตัวได้แล้ว อีกทั้งสามารถเปลี่ยนรูปพื้นหลัง (template) ได้ด้วย ปัจจุบัน blog กำลังได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ บริษัททั้งเล็ก ใหญ่ต่างก็ทำเว็บบล็อกบริการในบริษัท เพื่อให้พนักงานเขียนบล็อกส่วนตัวได้
โดยในเนื้อหาใน Blog นั้นจะส่วนประกอบสามส่วนคือ 1.หัวข้อ (Title) 2. เนื้อหา (Post หรือ Content) 3.วันที่เขียน (Date)

การสมัครเขียนบล็อกฟรี ที่ Blogger.com
1. เข้าสมัครสมาชิกได้ที่เว็บไซต์ www.blogger.com

2. คลิกที่เริ่มสร้างบล็อกที่ CREATE YOUR BLOG NOW
3. กรอกรายละเอียดส่วนตัว ชื่อล็อกอิน / รหัสผ่าน / ชื่อบล็อก / อีเมล์
เสร็จแล้วคลิกปุ่ม Continue
4. ระบุรายละเอียดของบล็อกBlog title : ระบุชื่อบล็อก 
Blog address (URL) : ชื่อยูอาแอลสำหรับเรียกใช้งาน http://arnut.blogpot.com
World Verification : พิมพ์รหัสที่ระบบบอกมา เสร็จแล้วคลิกปุ่ม Continue
5 . ระบบจะแสดง Template ให้เลือกใช้งานหลายแบบ ให้ทำการคลิกเลือก Template ที่ต้องการเสร็จแล้วคลิกปุ่ม Continue


6 . ระบบแสดงข้อความกำลังทำการสร้าง blog ให้อยู่

  7. ทำการสร้าง blog เสร็จแล้ให้คลิกปุ่ม START POSTING เพื่อทดสอบเข้าใช้งาน

8. พิมพ์รายละเอียดข้อความแรกในบล็อก หลังพิมพ์เสร็จสามารถคลิก preview ดูผลก่อนได้ เสร็จแล้วคลิกปุ่ม Publish Post

9. เสร็จสิ้นการติดตั้งเว็บบล็อกให้คลิกที่ View Blog เพื่อดูผล

10. แสดงบล็อกส่วนตัวที่สร้างเสร็จแล้วสังเกต url ด้านบนจะเป็น http://arnut.blogspot.com/
11. ที่นี้กรณีที่ต้องการเขียน Blog เพิ่มเติม หรือเข้าไปแก้ไข Blog สามารถล็อกอินเข้าได้ที่http://www.blogger.com/start
พิมพ์ชื่อ username / Password เสร็จแล้วคลิกปุ่ม SIGN IN เพื่อเข้าระบบ
12. จะเข้าสู่หน้าต่างผู้ดูแลบล็อกสำหรับแก้ไข และปรับแต่งข้อมูลต่างๆ ดังรูปทำการแก้ไขข้อมูลต่างๆ ตามต้องการ

 

เครื่องมือการตั้งค่า การตั้งค่า-รูปแบบ
  ด้านล่างจะเป็นการตั้งค่าเครื่องมือการตั้งค่า เราก็ไปเลือกคลิกตั้งค่าต่าง ๆ ได้ตามความพอใจ
 
มาถึงกรณีเราต้องการจัดรูปแบบ ส่วนนี้พี่เรายังงง เราก็งงแรก ๆ ด้านล่างนี้เป็นตัวอย่างพอมีรูปแบบหน้าเว็บของเราซึ่งแล้วแต่ว่าธีมที่เราเลือกจะมีคอลัมภ์ในการใส่ลูกเล่นอย่างไร ของเรามีคอลัมภ์สองอัน ส่วนด้านล่างหนึ่งอันพี่เราจะงงเรื่อง gadget เจ้าตัวนี้เอาไว้ให้เราใส่ลูกเล่นต่าง ๆ และสามารถดึงเลื่อนเปลี่ยนที่ได้ ไม่ว่าจะขึ้นลง ส่วนบน ส่วนล่างเว็บ
สมมติว่าเราคลิกgadget มันจะขึ้นลูกเล่นต่าง ๆ ถ้าเราชอบก็กดตรงเครื่องหมายบวกได้เลย
ซึ่งในนี้ก็จะมีทั้งแบบพื้นฐาน เพิ่มเติม ได้รับความนิยม หรือแม้แต่จะไปเพิ่มเองจากที่อื่นก็ได้
 
สมมติว่าเราคลิกสักลูกเล่นนึงมันก็จะขึ้นหน้าต่างนี้มาค่ะ ตัวหัวข้อลูกเล่นก็เปลี่ยนได้แล้วแต่แล้ว
จากนั้นก็กดบันทึก

แค่นั้นก็เป็นอันเรียบร้อยค่ะ ส่วนเรื่องตำแหน่งนั้นนั้นเราก็ปรับแต่งได้เลื่อนไปมาได้อย่างที่บอกเบื้องต้นเมื่อทำเสร็จแล้วก็กดบันทึกในหน้าของรูปแบบและกดดูที่หน้าบล็อกได้เลย ส่วนเวลาจะเขียนก็กดเมนู..การส่งบทความ...ก็จะเขียนได้เลย อันนี้เป็นการแนะนำเบื้องต้น หวังว่าจะช่วยอะไรได้บ้างนะ เอาไว้เรารู้เรื่องมากกว่านี้จะมาแนะนำใหม่

ประโยชน์หลักของ blog
เป็นศูนย์ความรู้ของบริษัท เพราะให้พนักงานแต่ละคนเขียนบล็อกส่วนตัวไว้ หากพนักงานท่านนั้นลาออกไป ความรู้ยังคงอยู่ที่บริษัทให้รุ่นน้องศึกษา
ใช้รายงานเหตุการณ์ หรือผลการทำงานว่าแต่ละวันได้ทำอะไรบ้าง
ใช้ติดตามความคืบหน้าของงาน กรณีมีการทำงานร่วมกัน
ใช้สำหรับโชวร์ ผลงานส่วนตัว หรือไซต์ส่วนตัว
ใช้ทำเว็บไซต์ส่วนตัว /เว็บดาราดัง (เราอาจจะเป็นแฟนพันธุ์แท้ ใครสักคนก็สามารถทำได้สบาย )
ใช้ทำเว็บรวมสถานที่ท่องเทียวในตัวจังหวัด หรือในอำเภอเล็กๆ ตามต่างจังหวัด
สรุป
ในการสร้างบล็อกนั้นสามารถทำได้สองแบบคือ
1. การติดตั้งโปรแกรมทำ Blog ขึ้นใช้งานเองสำหรับบริการพนักงานใน office เลย ตัวอย่างโปรแกรมสร้าง blog เช่น WordPress, b2evolution, Nucleus, pMachine, MyPHPblog, Movable Type, Geeklog, bBlog (วิธีนี้ท่านต้องมีเครื่องเว็บเซิร์ฟเวอร์ในการใช้งานเองอาจทำเป็น Intranet Blog หรือ Internet Blog ก็ได้)
2. การใช้งานบล็อกฟรี จากเว็บที่เปิดให้บริการ ปัจจุบันมีเว็บเปิดให้บริการหลายเว็บอาทิ เช่น
Blogger.com (en), Bloglines.com (en), Exteen.com (th), Bloggang.com(th)*
      ในบทความนี้นำเสนอการสร้างบล็อกวิธีที่สองคือการใช้บล็อกฟรี โดยทดสอบจากเว็บ blogger.com    จะเห็นได้ว่าการมีเว็บบล็อกเป็นของตัวเองไม่ช่ายเรื่องยากอีกต่อไป อีกทั้งผู้เขียนไม่จำเป็นต้องเขียนเว็บเป็นก็สามารถมีบล็อกส่วนตัวได้แล้ว     โดยในการสร้างและเขียนบล็อกขึ้นมา ขึ้นอยู่กับสามัญสำนึกแต่ละท่าน   ผู้เขียนขอให้ใช้ประโยชน์จากบล็อกในเชิงสร้างสรรค์ และขอให้ทุกท่าน สนุกกับการเขียนบล็อกส่วนตัวครับ 
ตัวอย่างเว็บไซต์ ในลักษณะ Weblog
Mblog > weblog.manager.co.th
OpenTLE Blog > blog.opentle.org
Kapook Blog > www.kapookclub.com
BlogGang > www.bloggang.com
Exteen Blog > www.exteen.com
MSDN Blogs > blogs.msdn.com
Sun Blog > blogs.sun.com
OracleAppsBlog > www.oracleappsblog.com
Google Blog > googleblog.blogspot.com